เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ส.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความพอดีมันหายาก ความพอดีของพวกเรานะความพอดีของใจ ถ้าใจพอดีกันใจลงตัวกันเราจะมีความสุขมาก มีความสุขเพราะมีความสบายใจ แต่ถ้าเราไม่สบายใจ เราขัดข้องใจ ใจมันไม่ปกติ

อันนี้ก็เหมือนกัน เราถือธุดงควัตร เพราะว่าหลวงตาบอกเลยว่า “ถ้าเราไม่ทำ ต่อไปในศาสนามันมีแต่ตำรา” แล้วมันไม่มีผู้กระทำ พอทำแล้ว ถ้าเราทำคุณงามความดี พูดถึงถ้าคุณงามความดี ความดี กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม มันหอมไปทวนลม มันไปตามลม มันหอมทวนไป สิ่งนี้มันเป็นที่ว่าใครทำคุณงามความดี แต่ตอนทำใหม่ๆ ลำบากมาก ตอนทำใหม่ๆ ใครอยู่ในป่า

ดูอย่างวัดถ้ำกลองเพล วัดต่างๆ อยู่ในป่า กว่าจะสร้างขึ้นได้นะ เราอ่านประวัติสมัยหลวงปู่ขาวไปอยู่ อยู่ในถ้ำอยู่ในป่าลึก ต้องหามอาหารไปส่งนะ ต้องแบกต้องหาอาหารไปส่ง เพราะมันบิณฑบาตกับชาวป่าชาวเขามันก็ไม่ได้สมบูรณ์หรอก มันเป็นไปอย่างนั้นมาตลอด แต่เพราะกลิ่นของศีลกลิ่นของความดีของท่าน มันถึงทำให้เป็นอย่างนั้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันมีความยุ่งยากบ้าง มันมีความลำบากบ้าง มันดูแล้วไม่สวยงาม สิ่งที่ไม่สวยงามเพราะเราขัดกับความรู้สึกของเรา เราต้องการความสะดวก เราต้องการความสบาย เราต้องการทุกสิ่งทุกอย่างให้มันสมบูรณ์แก่เรา มันสมบูรณ์เพราะด้วยความสะดวกสบาย

หลวงปู่ฝั้นบอกเลยว่า “คนมักง่ายมันจะได้ยาก คนมักยากคนพยายามฝืนกับกิเลสมันจะได้สมความปรารถนา” คนมักง่ายไง อะไรก็ต้องการความสะดวก อะไรก็ต้องการความสบาย ความสะดวกความสบายมันเป็นทางของกิเลสชัดๆ เลย ทางกิเลสมันต้องการความสะดวกความสบาย มันสะดวกสบายมันสะดวกสบายไปไหน เพราะอะไร? เพราะว่าการบังคับของการเกิด

การเกิดมาเป็นชาติ มนุษย์นี่เห็นไหม เราหายใจเข้าและไม่หายใจออกเราต้องตายนะ เราหายใจอยู่ตลอดเวลา จะอะไรเคลื่อนไหวไปเราต้องหายใจ ถ้าอากาศไม่ขึ้นไปเลี้ยงสมองพักเดียวเท่านั้นนะร่างกายจะผิดปกติเลย อากาศหายใจตลอดเวลา การดำรงชีวิตอยู่ของเราด้วยอากาศหายใจดำรงตลอดไป แล้วถ้ามันขาดไป มันสืบต่อตลอดไป สิ่งนี้มันบังคับ มันถึงสะดวกสบายไม่ได้ การสะดวกสบายไม่ได้เพราะอะไร? เพราะร่างกายมันเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องเสื่อมสภาพไปโดยธรรมชาติของมัน

แต่เริ่มจากเด็กขึ้นมาเจริญเป็นผู้ใหญ่ ช่วงนี้จะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของความทุกข์ มันจะเห็นเปลี่ยนแปลงของความเจริญรุ่งเรือง เพราะมันกำลังผลิดอกออกใบ ต้นไม้กำลังผลิดอกออกใบนี่เราจะเห็นว่ามันสวยงามมาก ดอกไม้ออกมาใหม่ๆ จะสวยงามมาก แต่พอมันแก่แล้ว มันเริ่มร่วงโรยไป มันจะเป็นแบบว่าไม่สมความปรารถนาของเราเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อร่างกายกับจิตใจมันอยู่ด้วยกัน แล้วมันบีบคั้นกันอยู่นี่ ถึงจะหาความสะดวกสบายๆ เป็นไปไม่ได้หรอก เพียงแต่เริ่มต้นขึ้นมามันเป็นประสบการณ์ของชีวิต ผู้ที่ดำรงชีวิตมา เวลาเกิดขึ้นมาแล้วพอโตขึ้นมาต้องมีวิชาการต้องมีวิชาชีพ เด็กถึงต้องศึกษาเล่าเรียน การศึกษาเล่าเรียนการพยายามต่างๆ ของเราขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นการว่าสะสมขึ้นมาให้เป็นวิชาชีพ ให้เป็นผู้ที่ฉลาดทันคน ให้อยู่ในสังคมได้

แต่อยู่สังคมได้สูงสุดขนาดไหนต่ำสุดขนาดไหน มันก็ต้องตายไปทุกคน สิ่งต่างๆ ต้องตายไป สิ่งที่บีบบังคับไว้มีอย่างนี้อยู่ เราถึงต้องหาสิ่งหนึ่ง เห็นไหม หาสิ่งหนึ่งสิ่งที่ว่ามันเป็นความสุขเป็นความคงที่ของใจ สิ่งที่จะเป็นความคงที่ของใจ ใจจะมีสิ่งนั้นอยู่ในใจของเรา แต่มันจะมองไม่เห็นสิ่งนี้ คนเราไม่ใช่ดีเพราะความเกิด คนเราเกิดมาชาติตระกูลเป็นความดี สิ่งต่างๆ นี้ไม่ใช่หรอก ชาติตระกูลดีคนนั้นดีๆ ด้วย ชาติตระกูลดีคนนั้นเกเรคนนั้นก็เกเร ชาติตระกูลต่ำต้อยขนาดไหนถ้าคนนั้นดีมันก็ดีไปด้วย

วัตรปฏิบัติก็เหมือนกัน การเปลี่ยนแปลงการดำเนินของใจมันมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ คุณงามความดีเกิดจากการกระทำ คุณงามความดีเกิดจากการดัดแปลงตน การมีวิชาชีพคนเรียนมาจะสูงต่ำขนาดไหน ถ้าเป็นคนดีสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์มาก คนดีเรียนมามีวิชาชีพด้วย แล้วคนนั้นเป็นคนดีด้วย จะส่งเสริมจะเป็นที่พึ่งของสังคม สังคมจะพึ่งคนๆ นั้นได้ คนนั้นจะเป็นคน

คนดีในประวัติศาสตร์ก็มีเป็นคนๆ ไป แต่ดีขนาดไหนมันก็เป็นว่าถึงที่สุดก็ต้องตายไป สิ่งที่ตายไปของภพชาติ วาระของภพชาติมันต้องตายไป แต่ตัวจิตตัวนี้ไม่เคยตายไป ตัวจิตตัวนี้จะมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน มันเป็นความประหลาดมหัศจรรย์ สิ่งที่มหัศจรรย์สิ่งนี้มันอยู่กับตัวเรา แต่มันมีวาระๆ ปกปิดไว้ การที่วาระปกปิดไว้คือภพชาติมันปกปิดไว้ เราถึงไม่เข้าใจสิ่งนี้ แล้วเราก็พยายามแสวงหาเข้าไป แสวงหาด้วยความคิดของเรา แสวงหาด้วยวิชาการของเรา วิชาการของเราคิดอย่างนั้น สิ่งที่พิสูจน์ได้ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์สิ่งใดๆ ได้ ถ้าพิสูจน์อะไรได้ทางจิตก็ต้องพิสูจน์ได้ ถ้าพิสูจน์ได้ ถึงว่าถ้าพิสูจน์มันพิสูจน์ไม่ได้ถึงไม่มีไง พิสูจน์แล้วไม่ได้ถึงไม่มี

ในสมัยพุทธกาลนะ กษัตริย์ไม่เชื่อเรื่องศาสนา เขาเป็นกษัตริย์เขาสามารถพิสูจน์ได้ เขาเอานักโทษก่อนตายเอามาใส่โลงแก้วไว้ แล้วยาไว้ดูว่าจิตมันตายมันจะไปไหน เวลาที่คนตายวิญญาณออกไปไหน ว่ามีใจๆ ใจอยู่ไหนหาไม่เจอ สิ่งนี้ในสมัยพุทธกาลสมัยพระพุทธเจ้าอยู่คนไม่เชื่อก็มี แล้วมีความสามารถด้วยนะ พยายามทดลอง พยายามพิสูจน์ต่างๆ พิสูจน์ขนาดไหนก็ไม่มีสามารถได้

สุดท้ายมาเจอพระอรหันต์ ถามว่า เวลากษัตริย์เวลานอนเวลาฝันเห็นว่ามันออกไปไหม? เวลาจิตมันฝันเห็นตัวเองออกไปไหม? มันไม่เห็นตัวเองออกไป จะพิสูจน์ว่าตัวใจมันมีอยู่ สุดท้ายแล้วเขาพลิกแพลงนะ เขามีความเห็น พอเริ่มเขามีความเห็น เห็นว่าพระอรหันต์พูดๆ ให้เขาเข้าใจได้ เขาบอกว่าเขาเข้าใจแล้วล่ะ แต่เขาก็จะถือทิฏฐิความเห็นของเดิมของเขาตลอดไป เพราะอะไร? เพราะเขาเป็นกษัตริย์ เขาไม่สามารถจะยอมรับความที่ว่าเขาเห็นผิดมาได้

พระอรหันต์ถึงบอกว่า มันก็เปรียบเหมือนเราแบกอุจจาระมา แล้วโดนน้ำไหลน้ำมันรดตัวเราๆ จะสละทิ้งไหม เราไปเจอเหล็ก ไปเจอทองคำ ไปเจอสิ่งต่างๆ ดีขึ้น เราจะละความเห็นของเราไหม พูดจนเขาละความเห็นได้นะ สิ่งที่ละความเห็นได้ ถ้าละความเห็นผิด ทิฏฐิเห็นไหม มิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ถ้าเรามีทิฏฐิความเห็นถูกต้องจิตนี้จะก้าวเดินไปได้ ถ้าเรามีมิจฉาทิฏฐิความเห็นของเราไม่ถูกต้อง มันปิด ใจนี่มันโดนความคิดเราปิดไว้อีกทีหนึ่ง

ความคิดมันเป็นสิ่งที่จรมา สิ่งที่จรมาเวลาเราคิดขึ้นมา มันคิดขึ้นมาโดยพลังงานของใจ พลังงานคือ ตัวธาตุรู้เป็นพลังงานเฉยๆ แต่ตัวคิดเป็นตัวขันธ์ สิ่งที่เป็นตัวขันธ์มันมีความคิดมันคิดออกไป แล้วมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด ความคิดผิดมันปกคลุมสิ่งนี้ได้ สิ่งที่ปกคลุมพลังงานอยู่ พลังงานตัวนั้นถึงแสดงตัวเองไม่ได้เลย

แต่ถ้ามีความทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง พลังงานตัวนั้นจะเปิด ถ้าพลังงานตัวนั้นจะเปิด เพราะความเห็นความที่ปิดบังไว้ ความปิดบังมันเป็นสัมมาทิฏฐิ สิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิมันจะเปิดให้เข้าไปเห็นพลังงานตัวนั้น ถ้ามันความฟุ้งซ่านความคิดที่ผิด มันเป็นขันธ์ มันเป็นสิ่งที่ปกปิดอยู่ มันปกปิดใจ เราถึงพิสูจน์ไม่ได้ไง

ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์เรื่องของหัวใจไม่ได้ เพราะหัวใจเป็นนามธรรม จะพิสูจน์เรื่องหัวใจได้ต้องหลับตา มันพิสูจน์ได้โดยพุทธศาสตร์ ปรัชญาในโลก ในพุทธศาสตร์ศาสนาสิ่งนี้มันจะพิสูจน์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พิสูจน์ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปอยู่กับอาฬารดาบส เวลาจิตสงบบอกว่า มีความสามารถ อยู่สอนได้ อยู่สอนลูกศิษย์ลูกหาได้ ท่านยังไม่ยอมรับ เพราะอะไร? เพราะมันมีความสะเทือนใจ มันมีความทุกข์ความสุขความเศร้าหมองในหัวใจ สิ่งที่เศร้าหมองในหัวใจนี้คือเป็นความทุกข์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ สิ่งนี้จับต้องได้มันจะเป็นความจริงไปได้อย่างไร

การพิสูจน์ใจ มันพิสูจน์จนพยายามใช้ความคิดให้มันสงบตัวลง ให้มันเกิดพลังงานตัวนั้น ตัวนั้นคือสัมมาทิฏฐิ เอกัคคตารมณ์ เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นจิต เป็นพลังงานตัวหนึ่ง ถ้าใครประพฤติปฏิบัติพอจิตมันสงบเข้าไปมันจะไปเห็นพลังงานตัวนี้ไง ไปเห็นพลังงานตัวนี้ปั๊บมันก็เสื่อมสภาพ มันแปรสภาพไป เพราะสรรพสิ่งนี้แปรสภาพตลอด สิ่งที่เรื่องของโลกเป็นอนิจจังตลอดเลย

แต่เรื่องของใจเป็นนามธรรมมันเป็นอนิจจังในตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วมันเร็วมาก แต่เพราะมันไม่เคยมีสัมมาสมาธิ ไม่เคยมีสติ ไม่เคยมีความสงบเข้าไปเห็นใจ มันจะไม่เห็นใจ ไม่เห็นตัวพลังงานตัวนี้ พอไม่เห็นพลังงานตัวนี้มันก็ใช้ความคิดออกไป มันเป็นอนุโลมไป สิ่งที่เป็นอนุโลมไปมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิมันไม่เป็นปัญญาอบรมสมาธิหรอก มันเป็นกิเลสใส่ไฟให้หัวใจเร่าร้อนไป กิเลสมันจะใส่เข้าไปในหัวใจความคิดความเห็นนั้นจะใส่เข้าไปในหัวใจ แล้วมันจะเร่าร้อนมาก ร้อนไปตามประสาของมันเพราะมันเป็นกิเลส มันเป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด สิ่งที่เห็นผิดความผิดพลาด

ใจกับพลังงานอยู่ด้วยกัน ถ้ามันเห็นถูกมันจะมีความสมดุล มีความพอใจ มันจะมีความสุขของมัน สิ่งนี้มันเกิดได้ มันมีอยู่ในใจของเราแล้ว แต่เราไม่สามารถ เราไม่เคยค้นคว้ามันเอง แต่ถ้าเราค้นคว้าถ้ามันสมดุลกันไปมันก็พอใจ ความพอใจมันก็ปล่อยวางๆธรรมชาติของมัน แต่ไม่เป็นสัมมาสมาธิอะไร เพราะมันไม่ลึกเข้าไป ไม่มีสติประคองเข้าไป

แต่ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง พลังงานที่สมดุลแล้ว เรากำหนดพุทโธๆ ให้มันลึกเข้าไป มันเป็นเอกัคคตารมณ์ มันจะตั้งมั่นขึ้นมา สิ่งที่มันแปรสภาพๆ ตลอดไป แต่เรามีสติเราประคองไว้ เราพยายามส่งเสริมมัน สิ่งที่เราส่งเสริมมันจะยืนตัวได้ ยืนตัวได้บ่อยครั้งเข้าบ่อยครั้ง จิตสงบบ่อยๆ มันถึงเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิเป็นมรรคองค์หนึ่งในมรรค ๘ บุคคล ๘ จำพวก โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ความคิดของเรานี่ เราเป็นปุถุชนมันจะเดินโสดาปัตติมรรคไม่ได้ มันเป็นความเห็นของเรา ความเห็นเป็นปัญญาอบรมสมาธิถ้ามันความถูกต้อง ถ้าเป็นความผิดพลาดมันก็เป็นกิเลสไป

สิ่งนี้มันคิดอยู่ตลอดไป แล้วถ้ามันหมุนเข้ามา มันความถูกต้องเข้ามา มันทรงตัวขึ้นมาได้มันก็เริ่มเป็นกัลยาณปุถุชน สิ่งที่เป็นกัลยาณปุถุชน ปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลสประคองตัวเองไม่ได้ กัลยาณปุถุชนคือทำจิตสงบขึ้นมา พอจิตมันสงบขึ้นมาเราเลือกแยกแยะความคิดได้แล้ว ความคิดเราไม่มีอำนาจเหนือเราหรอก เราพอแยกแยะได้ สิ่งที่เราแยกแยะได้เราจะคิดแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดี

สิ่งที่เป็นคุณงามความดีแล้วมันย้อนกลับเข้ามาเพราะมีหลักของศาสนา มีศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว เราย้อนสิ่งนี้กลับมา มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นมรรค เป็นหนึ่งในมรรค ๘ การงานชอบ ความเพียรชอบ มันจะเริ่มต้นขึ้นตรงนี้ ถ้าเริ่มต้นขึ้นตรงนี้มันจะวนกลับเข้าไป ความสมดุลต่างๆ มันจะเห็นนะ ความสมดุลคือมรรคสามัคคี ความสมดุลคือมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาในการดำเนินของใจ ถ้าใจเป็นมัชฌิมาปฏิปทาเข้ามามันจะชำระกิเลส วนชำระกิเลส นี่จะเห็นสภาพของใจ

วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ไม่ได้ ผู้ที่ปฏิบัติจะพิสูจน์อันนี้ หลับตาแล้วใช้พลังงานตัวมันเองเข้าไปทำลายตัวมันเองจะเห็นหลักการของพุทธศาสตร์ เห็นหลักการของวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์ทางจิตนะ วิทยาศาสตร์ของโลกเขาทดลองไปแล้วเขียนเป็นตำราวางไว้

อันนี้ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเป็นผู้ค้นพบก่อน แล้ววางธรรมไว้ มันก็เป็นทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของมรรค มันทางจิต มันเป็นวิทยาศาสตร์เลย ถ้าเราทดลองแล้วเราพิสูจน์เข้ามานี่มันจะเห็นจากใจ เห็นจากใจ ใครทำขึ้นมานี่แล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นอกุปปะ ถ้ามันทำลายใจของตัวเองมันจะพ้นจากกิเลสๆ ไป เป็นชั้นเป็นตอนไป บุคคล ๘ จำพวกใจมันเจริญขึ้นไป โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล

วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เป็นขั้นตอนแล้วสื่อได้ เพราะครูบาอาจารย์สมัยอยู่ในป่าคุยกัน เวลาสื่อธรรมกันนะ ถ้าใครพูดถูกเหมือนกันหมดมันจะถูกต้อง นั่นถูกต้อง นี้ทำมาถูกต้อง ถ้าผู้ที่ต่ำกว่าพูดแล้วมันวิทยาศาสตร์มันได้สองสามขั้นตอน แล้วคิดว่ามันเป็นถึงที่สุดแล้ว มันยังมีขั้นตอนต่อไปเพราะเราไม่เคยเห็น เราไม่เคยทดลอง เราจะไม่เห็นอย่างนั้น ผู้ที่เห็นผู้ที่ทดลองพยายามส่งเสริมขึ้นไป ส่งเสริมขึ้นไปจนถึงที่สุดนะ ๘ จำพวก บุคคล ๘ จำพวก นิพพาน ๑ มรรค ๘ นิพพาน ๑ หนึ่งอันนั้นพ้นออกไป ใจนี้ประเสริฐขึ้นมา

การเกิดและการตาย เกิดเป็นมนุษย์มีอำนาจวาสนามาก แต่เกิดมาแล้วสัจจะความจริงมันก็เป็นอริยสัจ มันเป็นความทุกข์อันหนึ่ง เกิดมาด้วยเราจะมาเปลี่ยนแปลงหัวใจของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเราจะเปลี่ยนแปลงหัวใจ สรรพสิ่งนี้เปลี่ยนแปลงได้ ความดีความชั่วไม่ได้เกิดจากชาติ ไม่ใช่เกิดจากตระกูล ไม่ได้เกิดจากความใครจะคาดหมายได้ เกิดจากเราสร้างสมทั้งนั้น

เกิดเป็นมนุษย์นี้ก็กรรมดีสร้างมาเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วถ้าเกิดเราพ้นออกไปจากการเกิดการตายนี้ มันก็เกิดจากการสร้างสมของเรา เกิดจากหัวใจที่มันหมุนกลับมาวิปัสสนา แล้วมันจะปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปจนถึงที่สุดได้ พ้นออกไปจากกิเลสได้โดยความเป็นจริง

พิสูจน์ได้จากใจเรา ถ้าใจเราทุกข์ ทุกข์นี้แก้ไขได้ ทุกข์นี้ดับได้ ถ้าความทุกข์มันกังวานในใจของเรา ศาสนาลบล้างสิ่งนี้ ศาสนาทำลายสิ่งนี้ ถ้าศาสนาทำลายความกังวล ความอาลัยอาวรณ์ สิ่งที่อาลัยอาวรณ์กังวลติดข้องในใจ นี่กิเลสทั้งนั้นเลย แล้วสิ่งนี้ดับได้ด้วยมรรคอริยสัจจัง เอวัง